ฝันให้ไกล แต่ไปไม่ถึง (การเลือกลูกสุนัขสำหรับฝึก)
โดย คุณน้องใหม่ GSD
ความฝันที่จะฝึกลูกสุนัขพันธุ์เยอรมันเช็พเพอดให้ได้คุณภาพ ระดับตามมาตรฐาน หรือ ระดับที่จะนำไปแข่งขันในประเภท SchH หรือ IPO ( สุนัขกีฬาอารักขา ) ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันภายในประเทศหรือต่างประเทศ ได้เคยกล่าวไว้แล้วว่า ...มันเป็นไปไม่ได้... อ้าว, แล้วทำไมมันถึงจะเป็นไปไม่ได้ล่ะ......... ที่ว่าเป็นไปไม่ได้, ก็เพราะมันมีสาเหตุที่ทำให้มันเป็นไปไม่ได้น่ะสิ.....
อันดับแรกต้องทำความเข้าใจกันเสียก่อนว่า ไม่ใช่สุนัขพันธุ์เยอรมันเช็พเพอด ( ไม่ว่าจะเป็นสายสวยงาม หรือสายใช้งาน ) จะมีคุณสมบัติที่จะเป็นสุนัขกีฬาอารักขา ได้ทุกตัว สุนัขที่จะมาเป็นสุนัขกีฬาอารักขาที่ดีได้ คือ ต้องสามารถทำแบบฝึกหัดตามกฎการสอบ ( หรือการแข่งขัน ) ให้ได้ตามมาตรฐานสากล มันต้องเป็นสุนัขพิเศษคือ มันต้องมีแรงขับ ( Drive ) ครบถ้วนและในระดับที่สูงพอ ......ที่ว่าแรงขับ นั้น มันคืออะไรเล่า ??
คำนิยามง่าย ๆ ของคำว่า แรงขับ หรือ Drive นั้น ก็คือ มีความต้องการสูง ซึ่งโดยพื้นฐานสำหรับการฝึกแล้ว แรงขับที่จำเป็นสำหรับลูกสุนัขที่จะนำมาฝึกกีฬาอารักขา ( หรือฝึกเพื่อทำงานอื่น ๆ ก็ตาม ) ได้ดี คือ
- แรงขับอาหาร ( Food Drive ) ต้องมีความอยากที่จะกินตลอดเวลา แรงขับดังกล่าวนี้ ผู้ฝึกจะนำมาใช้ในการฝึกเรื่อง การดมกลิ่น ( Tracking ) และใช้ในเบื้องต้นของการฝึก เชื่อฟังคำสั่ง ( Obedience )
- แรงขับของการเล่น ( Play Drive ) ต้องมีความอยากที่จะเล่นกับผู้ฝึกตลอดเวลา แรงขับนี้ผู้ฝึกจะสามารถนำมาปรับใช้ในการฝึก เชื่อฟังคำสั่ง ( Obedience )
- แรงขับไล่ล่า ( Prey Drive ) เป็นแรงขับที่สำคัญมากที่ลูกสุนัขต้องมีอยู่สูง เพื่อผู้ฝึกจะนำมาปรับใช้ในการฝึก เชื่อฟังคำสั่ง ( Obedience ) และต่อสู้ป้องกัน ( Protection )
- แรงขับของการต่อสู้ป้องกัน ( Defence Drive ) เป็นแรงขับที่สำคัญในขั้นตอนฝึก ต่อสู้ป้องกัน ( Protection ) แต่จะยังไม่มีในตอนที่เขาเป็นเด็ก ๆ แรงขับนี้จะพัฒนาขึ้นมาเองตามธรรมชาติเมื่อเขาค่อย ๆ โตขึ้น แต่ถ้าโตขึ้นแล้ว สุนัขมีแรงขับนี้ น้อยเกินไป หรือ สูงเกินไป คุณลืมไปได้เลยสำหรับการฝึกกีฬาอารักขา ทำไมถึงบอกว่าให้ลืมไปได้เลย เพราะถ้ามีน้อย...สุนัขจะไม่กัดถ้ามีมากเกินไป...สุนัขจะกัดไม่ดี, ควบคุมยาก
ยังมีแรงขับอีก 2 - 3 ประเภทที่ต้องมีอยู่ในตัวลูกสุนัข ซึ่งจะกล่าวถึงในภายหลัง สิ่งสำคัญลูกสุนัขต้องมีจิตประสาทที่ดี มั่นคง ไม่ขี้กลัว ไม่กลัวเสียงดัง หรือ สิ่งต่าง ๆ ที่เคลื่อนไหวอยู่รอบข้าง หรือในสิ่งแวดล้อม
สิ่งต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้วข้างต้น จำเป็นต้องมีอยู่ในตัวของลูกสุนัข ซึ่งนั่นย่อมหมายถึง มันต้องมีอยู่ในสายเลือดของพ่อ, แม่, ปู่, ย่า, ตา, ยาย, ทวด, ทวดของทวด ฯลฯ หรือพูดสั้น ๆ คือ ต้องมีอยู่ในสายเลือดสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ ดังนั้น การที่จะหาลูกสุนัขที่มีคุณสมบัติพอเพียงหรือเหมาะสมจะนำมาฝึก ก็ยากเต็มทนแล้ว ทำไมถึงว่ามันหายาก ในเมื่อลูกสุนัขพันธุ์เยอรมันเช็พเพอดมีขายทั่วไปตามท้องตลาด หรือ ตามคอกสุนัขต่าง ๆ ถูกต้องแล้วครับ...มีครับ ไม่ใช่ไม่มี แต่ก็อย่างที่บอกว่า..... มันต้องมีคุณสมบัติที่เหมาะสมเพียงพอ สำหรับนำมาฝึกให้ได้ผลดี ส่วนใหญ่ ลูกสุนัข สืบสายมาจากพ่อ แม่ และบรรพบุรุษที่มีคุณสมบัติไม่ครบถ้วนพอเพียง สำหรับนำมาฝึก แรงขับต่าง ๆ ที่จำเป็นต้องมี ( ดังกล่าวข้างต้น ) ในตัวลูกสุนัข มันมาจากพ่อ และ แม่ ของมัน ถ้าพ่อ และ แม่ ไม่มีแรงขับต่าง ๆ ครบถ้วน เพียงพอ ตัวมันเองก็ย่อมเป็นเช่นเดียวกัน หรือ บางที พ่อ และ แม่ มีแรงขับบ้าง แต่ตัวมันเองไม่มี หรือมีก็ขาด ๆ เกิน ๆ ก็เป็นไปได้บ้างเหมือนกัน คราวหน้าผมจะเล่าเรื่องจะคัดลูกสุนัขสำหรับการฝึกกีฬาอารักขาว่า เขาคัดกันยังไงที่จะให้ได้ตัวที่มีความหวังจะเป็นสุนัขที่ดีได้ในอนาคต
บางท่าน อาจจะถามว่า ** สมมติเราได้ลูกหมาสายเลือดดีมาจากเมืองนอก เราก็มีหวังที่จะฝึกได้ดีเหมือนกันสิ ?? **
เรื่องนี้ อาจตอบได้ว่า ลูกสุนัขทุกตัวในเยอรมนี หรือประเทศอื่น ๆ ในยุโรป ส่วนใหญ่ 99 % ก็มีเพดดีกรีที่ระบุว่า มีสายเลือดดีทั้งนั้นแหละครับ การซื้อสุนัขไม่ใช่ซื้อจากเพดดีกรีเพียงอย่างเดียว ผมเคยมีประสบการณ์ (ที่น่าจะต้องเรียกว่า ประสบกรรมมากกว่า ) มาแล้ว 2 ครั้ง ก็เพราะดูแต่เพดดีกรี และเชื่อคนขาย แต่เวลาได้ตัวสุนัขมาจริง ๆ มันไม่ได้เรื่องเลย การซื้อสุนัขต้องเห็น ต้องได้สัมผัสตัวจริงของสุนัข อย่าไปเชื่อคนขาย หรือดูแต่ใบเพดดีกรีอย่างเดียว สุนัขใช้สายงาน...แต่ไม่กัด หรือประเภท ที่กัดเหมือนแมว ผมก็เคยเห็นมาแล้วครับ ไม่ใช่ว่าเป็นสายใช้งาน แล้วจะเอามาฝึกได้ดีทุกตัวไป แล้วแต่ตัวสุนัขที่เราต้องไปทดสอบด้วยตัวเอง
ไปหาเจ้าดาวดวงน้อย
ไตร่ตรองถ้วนถี่ดีแล้ว ก็เริ่มออกไปหาเจ้าดาวดวงน้อย เพื่อมาปลุกปั้นให้เป็นดาวจรัสแสง ที่ส่งแสงระยิบระยับในวงการเยอรมันเช็พเพอดกันเลย
การที่จะหาเจ้าเยอรมันเช็พเพอดตัวน้อย ๆ มาฝึกให้เป็น สุนัขกีฬาอารักขา นั้น ผมได้กล่าวนำไปแล้วเป็นบางส่วนว่า มันยากแสนยาก ที่จะหาลูกสุนัขที่มีความเหมาะสมสำหรับกีฬาประเภทนี้ในประเทศไทย ก่อนที่จะไปหาลูกสุนัข ก็ต้องไปหาพ่อและแม่สุนัขก่อน ...อ้าว... แล้วทำไมต้องไปหาพ่อและแม่สุนัขก่อนให้มันยุ่งยากทำไมอีก...ทำไม ไม่ไปเลือกลูกสุนัข ทีเดียวเลยล่ะ.......
เหตุผลสำคัญ คือ แม่สุนัขนั้น ถือว่ามีความสำคัญมากที่สุดถึง 70 - 80 % ในการคัดเลือกลูกสุนัขแต่ละครอก แม่สุนัขมีอิทธิพลสูงมากต่อพัฒนาการช่วงแรกของลูกสุนัขในทุก ๆ ด้าน เพราะลูกสุนัขต้องสัมผัสกับแม่เป็นสิ่งแรกในโลก และต้องอยู่กับแม่ตลอดเวลานับจากวันที่คลอด จนกว่าจะหย่านม ลูกสุนัขจึงซึมซับพฤติกรรมต่าง ๆ จากแม่ได้มากที่สุด ในช่วงแรกของชีวิต แม่สุนัขต้องมีแรงขับที่ดี การกัดต้องดี แน่น เต็มปากเต็มคำ มีพลังในการขบกัด มีความสามารถในการเรียนรู้สูง ต้องทำตามคำสั่งได้อย่างรวดเร็วดูมีพลัง มีความกระตือรือล้นที่จะเล่นกับเจ้าของ มีจิตประสาทที่สมบูรณ์ ไม่ตื่นกลัว แต่ไม่ก้าวร้าว ถ้าได้พบแม่สุนัขที่มีคุณสมบัติดังกล่าวมานี้แล้ว ก็เป็นอันว่าเราพอใจแม่สุนัขตัวนี้
ขั้นต่อไป ก็ต้องพูดคุยสอบถามจากเจ้าของแม่สุนัขว่า เคยให้ลูกแล้วหรือยัง แม่สุนัขที่เคยให้ลูกแล้วจะดีกว่าแม่สุนัขสาว ๆ ที่ยังไม่เคยให้ลูก เพราะแม่สุนัขมีประสบการณ์ในการเลี้ยงลูกในครอกที่ผ่านมา จะมีพัฒนาการในการเลี้ยงดู, การดูแล และสอนลูกได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ ลูกสุนัขครอกหลัง ๆ จึงมักจะมีคุณภาพดีกว่าครอกแรกเสมอ
ขั้นต่อไป ก็ตามไปดูพวกลูก ๆ ครอกก่อน ๆ ของแม่สุนัขตัวนี้ว่าเป็นอย่างไร ดีหรือไม่ดีอย่างไร เมื่อรู้สึกว่าเราพอใจมาก สำหรับครอกลูกสุนัขรุ่นก่อนที่เกิดจากแม่ตัวนี้ ก็กลับไปตรวจสอบกับเจ้าของแม่สุนัขตัวนี้อีกครั้งว่า ฤดูผสมพันธุ์คราวหน้าจะผสมกับพ่อสุนัขตัวไหน แล้วก็ไปติดต่อขอดูตัวพ่อสุนัข ทำนองเดียวกับที่ไปดูแม่สุนัขนั่นแหละ ว่าพอใจในคุณภาพหรือไม่ ถ้าพอใจก็คอยติดตามข่าวการผสมและกำหนดคลอด
ข้ามชอทไปเลย......เอาเป็นว่าลูกสุนัขคลอดแล้ว 7 - 8 สัปดาห์ ก็ได้เวลาไปดูลูกสุนัขกันได้แล้ว ก่อนที่จะไป ตัดสินใจเสียก่อนว่า จะเอาตัวผู้หรือจะเอาตัวเมีย ตั้งใจให้มั่นคงก่อน จะได้ไม่สับสน เวลาจะไปดูลูกสุนัข ให้ไปดูแต่เช้า ๆ หลังลูกสุนัขตื่นนอน, ก่อนเวลาให้อาหารเช้า สมมติว่า ตั้งใจจะซื้อตัวผู้..... เมื่อไปถึง ก็ให้เจ้าของลูกสุนัขคัดเอาลูกสุนัขตัวเมียออกไปก่อน เพราะว่าเราจะไปดูแต่ลูกสุนัขเพศผู้
ลูกสุนัขอายุขนาด 7 - 8 อาทิตย์ ส่วนใหญ่จะหย่านมแล้ว ให้เจ้าของเอาแม่สุนัขอยู่รวมกับลูกสุนัขตัวผู้ที่เราต้องการ คราวนี้ก็นั่งสังเกตการณ์ดูเฉย ๆ คอยจดจำอาการของลูกสุนัขแต่ละตัวว่าเป็นอย่างไร ลูกสุนัขที่มี Food Drive สูง ๆ จะเข้าดูดนมของแม่ในทันที, เต้านี้ไม่มีก็จะย้ายหาเต้าที่มีนมอยู่ตลอด แม่สุนัขก็จะเริ่มแสดงความรำคาญและเจ็บเต้านม เพราะลูกสุนัขเริ่มมีฟันขึ้นแล้ว แม่สุนัขก็จะพยายามหนี
เลือกเอาเจ้าตัวที่เด่นที่สุดดูมีพลัง และวิ่งตามดูดนมแม่อยู่ตลอดเวลา เลือกไว้สัก 2 - 3 ตัวถ้าเป็นไปได้ โดยเอาเชือกสีผูกคอเอาไว้เป็นเครื่องหมายว่า ตัวไหนเป็นอย่างไร พยายามจดจำลักษณะที่แตกต่างทางร่างกายไว้บ้างก็ยิ่งดี เผื่อเชือกหลุดหายไป จากนั้นก็นัดเจ้าของลูกสุนัขว่า 3 - 4 วันจะมาดูอีกครั้ง
เมื่อไปดูครั้งที่ 2 ให้ขอเอาลูกสุนัขออกมาทดสอบข้างนอก ในบริเวณที่ลูกสุนัขยังไม่เคยไป ... อ้าว...ไปทดสอบอะไรอีกเล่าเนี่ย...แล้วทำไมต้องไปข้างนอกด้วย สาเหตุที่ต้องเอาลูกสุนัขออกจากบริเวณคอกที่คุ้นเคย ไปยังสถานที่ ๆ ลูกสุนัขไม่เคยไปมาก่อน ก็เพื่อจะดูปฏิกิริยาตอบโต้ต่อสิ่งแวดล้อมแปลกใหม่ของลูกสุนัขแต่ละตัว สถานที่ดังกล่าวควรเป็นสนามหญ้าที่มีต้นไม้บ้าง นำลูกสุนัขที่เลือกเอาไว้ไปปล่อยในบริเวณที่เตรียมไว้ทีละตัว สังเกตดูว่าลูกสุนัขจะแสดงออกอย่างไร ในทันทีที่มาถึงยังสถานที่แปลก ๆ ไม่คุ้นเคยมาก่อน
ลูกสุนัขตัวที่ไม่มีความมั่นใจในตัวเอง จะหมอบ หรือเอาหางจุกก้น ส่วนตัวที่มีความมั่นในในตัวเองสูง ก็จะออกเดินสำรวจไปทั่ว ดมกลิ่นแปลก ๆ ไปตลอดเวลา ต่อไปก็ให้จับลูกสุนัขเอาไว้ แล้วให้เจ้าของเรียกมาหา เลือกเอาตัวที่วิ่งไว ๆ ไปหาเจ้าของ และหางกระดิกอยู่ตลอดเวลา
ลองเอาพวงกุญแจหรือวัสดุอื่น ๆ ที่ทำให้เกิดเสียง เคาะหรือเขย่าให้เกิดเสียงดัง สังเกตว่า แต่ละตัวมีอาการอย่างไรต่อเสียงที่เกิดขึ้น โยนของไปข้างหน้าดูว่าตัวไหนวิ่งไปเก็บเล่นเร็วที่สุด บางตัวอาจจะไม่สนใจเลยก็ได้ เลือกเอาตัวที่วิ่งไปเก็บเล่นเร็วที่สุด จากนั้น จับให้ลูกสุนัขนอนลง เอาฝ่ามือวางทาบกดที่ท้องเบา ๆ ดูว่า ตัวไหนที่ดิ้นแรงที่สุดที่จะให้หลุดพ้นการกด
ขั้นตอนสุดท้ายคือ การกัด ลูกสุนัขอายุ 7 - 8 สัปดาห์ มีฟันขึ้นบ้างแล้ว ให้เอาผ้าขนหนูผูกปลายเชือก กระตุกเชือกให้ผ้าสะบัดไปมาบนพื้นล่อลูกสุนัขพร้อมกัน ดูว่า ตัวไหนที่พยายามตามไล่กัดผ้าอยู่ตลอดเวลาแบบไม่ยอมหยุด เวลากัดแล้วพยายามที่จะดึงเอาผ้าไปให้ได้
นั่นแหละครับ เจ้าดาวดวงน้อยที่คุณกำลังหาอยู่
บทสรุปก็ง่าย ๆ คือ ลูกสุนัข ต้องมีความมั่นในในตัวเองในทุกสถานการณ์ ถึงแม้จะเป็นสถานที่ที่ไม่เคยไปมาก่อน มีความสนใจที่จะเล่นวิ่งไล่ตามงับสิ่งที่เคลื่อนไหวอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย และพยายามดึงเอาสิ่งนั้นมาให้ได้ ไม่ตื่นกลัวต่อเสียง มีพลังสามารถและดิ้นรนให้หลุดพ้นเมื่อถูกกดดัน หรือมีแรงบังคับ
มีเพื่อนสมาชิกบางท่าน กล่าวถึงว่า ถ้ามีลูกสุนัขพันธุ์เยอรมันเช็พเพอดสายเลือดดีจากต่างประเทศ ก็น่าจะฝึกให้เป็นสุนัขกีฬาอารักขาได้ ผมอยากจะเรียนให้ทราบว่า อย่าไปซื้อมาเลยครับลูกสุนัขจากต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นประเทศไหน ๆ ในต่างประเทศ เช่น เยอรมนี เบลเยี่ยม หรือประเทศอื่น ๆ เจ้าของลูกสุนัขเขารู้อยู่แล้วละครับว่า ลูกสุนัขตัวไหนดีหรือไม่ดี มีข้อตำหนิ หรือบกพร่องอย่างไร เพราะเขาดูแลมันอยู่ทุกวัน ถ้าตัวเขาเองเป็นผู้ฝึกสุนัขกีฬาอารักขา ลูกสุนัขจะถูกขายหรือแบ่งให้กับเพื่อน ๆ ในคลับเดียวกันในท้องถิ่นของเขาไปหมดแล้ว พวกที่เหลือก็จะนำออกประกาศขายตามหนังสือ หรือ Internet เป็นพวกที่เหลือจากการคัดเลือก พวกหัวกะทิเขาจองกันไปก่อนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เหลือแต่หางกะทิพวกที่เหมาะจะนำไปเลี้ยงเป็นเพื่อน หรือเอาไว้เฝ้าบ้านอะไรทำนองนั้น
ยิ่งถ้าเป็นแม่สุนัขที่มีระดับความสามารถเข้าแข่งขันงานใหญ่มาแล้ว และเคยให้ลูกมาแล้ว พวกลูก ๆ รุ่นก่อนหน้านี้ได้แสดงความสามารถแล้วละก็ เขาต้องจองลูกสุนัขของแม่ตัวนี้กันข้ามปี และไม่รู้ว่าจะได้เมื่อไร ราคาลูกสุนัขคุณภาพดี อายุ 8 อาทิตย์ ปัจจุบัน ( ปีพ.ศ. 2550 ) ราว 850 - 1,000 Euro. ก็ราว ๆ 50,000 บาท ไม่รวมค่าขนส่ง
ต่อไป จะมาเล่าสู่กันฟัง ถึงการเตรียมตัวเจ้าดาวดวงน้อยให้เป็นดาวจรัสแสง
มาเจียระไนเจ้าดาวดวงน้อยให้เป็นดาวจรัสแสง
จากเรื่องของการคัดเลือกลูกสุนัขที่มาเล่าสู่กันฟังไว้ในตอนต้น อยากจะให้เข้าใจในอันดับแรกเสียก่อนว่า การหาลูกสัตว์มาเลี้ยงนั้น มันเป็นภาระที่จะต้องคิดกันให้ดี ให้ถ้วนถี่ว่า ภาระนั้นเราจะรับผิดชอบได้หรือไม่ ลูกสุนัขไม่ว่าจะเป็นพันธุ์อะไร ตอนเล็ก ๆ มันจะน่ารัก น่าเอ็นดู น่ากอดน่าฟัด แต่ตอนมันโตนี่ซิครับ เราจะรับมือกับมันไหวหรือเปล่า
เอาละ มาเข้าเรื่องในหัวข้อ การเจียระไนเจ้าดาวดวงน้อยให้เป็นดาวจรัสแสงกันดีกว่า เปรียบเป็นว่า เราไปได้เจ้าดาวดวงน้อย มาแล้วสักตัวหนึ่ง ช่วงในวัย 2 - 7 เดือน ข้างหน้านี้ เป็นช่วงที่สำคัญที่สุดในช่วงชีวิตของเจ้าลูกสุนัขพันธุ์เยอรมันเช็พเพอดตัวนี้ ที่จะเติบโตเป็นสุนัขกีฬาอารักขา หรือสุนัขอะไรที่ดีในอนาคตแล้ว ที่ว่าทำไมมันสำคัญมากที่สุดในช่วงชีวิตของลูกสุนัข เพราะว่าตั้งแต่เกิดมาก็เห็นแต่หน้าของแม่ กินนม หยอกล้อ นอนอบอุ่น ก็มีแต่แม่เท่านั้นละ เป็นสุข สงบ และแสนจะปลอดภัยเมื่ออยู่ใกล้แม่ จวบจนวัยล่วงเลยมาถึงจนอายุครบ 8 อาทิตย์ก็ต้องย้ายไปอยู่กับผู้ฝึกแสนจะหดหู่ เปลี่ยวใจ คิดถึงแม่ และพี่น้อง คิดถึงแต่วันคืนที่แสนสุขที่ได้อยู่กับแม่อันผู้เป็นที่รัก ในช่วงนี้ คือ ระหว่างลูกสุนัข 2 - 3 เดือน คือ ช่วง 4 อาทิตย์แรกที่ลูกสุนัขมาอยู่กับผู้ฝึก ผู้ฝึกจะต้องทำตัวให้เปรียบเสมือนกับแม่สุนัข ให้อาหาร หาที่หลับที่นอน เล่น เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกสุนัข สิ่งดี ๆ ทั้งหลาย ทั้งปวงในโลกนี้จะต้องมาจากผู้ฝึกเพียงคนเดียวเท่านั้น ขอย้ำมาจากคน ๆ เดียวคือ ผู้ฝึก เมื่อลูกสุนัขเห็นหน้า หรือได้ยินเสียงของผู้ฝึก นั่นหมายถึง ความสุขกำลังจะมาถึงเขา เขาก็จะแสดงความดีใจ กระโดด กระดิกหาง ตระกาย ( ถ้าเกลียดเมื่อลูกสุนัขตระกาย ขอแนะนำว่า อย่าคิดฝึกสุนัขเลยครับ เสียเวลาทั้งคนทั้งสุนัข ) ภายใน 4 อาทิตย์นี้ เป็นการสร้างความสัมพันธ์แบบตลอดชีวิต ระหว่างคนหนึ่งคนกับลูกสุนัขหนึ่งตัว เขาจะรักและเทิดทูนผู้ฝึกอย่างเป็นชีวิตจิตใจ รับรองได้ว่าไม่มีเปลี่ยนแปลงและนอกใจไปรักคนอื่นอีกเลย ผมใคร่ขอเรียก 4 อาทิตย์แรกนี้ว่า ช่วงแห่งการสร้างความสัมพันธ์แบบยั่งยืน
ตอนนี้อายุก็ 3 เดือนแล้ว ช่วงอายุระหว่าง 2 - 3 เดือนนี้ ลูกสุนัขจะโตเร็วมาก โตพอแล้วที่จะเริ่มฝึก การฝึกบทเรียนอันดับแรกของชีวิตก็ต้องฝึกเข้างานสังคมก่อน อันดับแรกนับแต่นี้ต่อไปอาทิตย์ละ 2 - 3 ครั้ง ผู้ฝึกจะต้องพาเจ้าดาวดวงน้อยออกไปงานสังคม ให้รู้จักถึงการเดินบนท้องถนนในที่ที่มีผู้คนพลุกพล่าน ที่ที่มีรถยนต์ จักรยานยนต์ หรือจักรยาน สถานที่ที่มีพื้นลื่น ๆ ต้องทำแบบค่อยเป็นค่อยไปนะครับ ทีละเล็กละน้อย เพื่อให้ลูกสุนัขเคยชินกับสังคมรอบข้าง ถ้าเดินผ่านผู้คน ก็บอกให้เขาช่วยจับ หรือลูบคลำเจ้าลูกหมาของเราหน่อย โดยเฉพาะเด็ก ๆ อ้าว ให้เขามาลูบ มาจับทำไม สุนัขกีฬาอารักขา ต้องเป็นมิตรกับมนุษย์ หรือบุคคลทั่วไป โดยไม่มีท่าทีที่จะแสดงความก้าวร้าวกับบุคคลอื่น หรือสัตว์ โดยเฉพาะสุนัขด้วยกันเอง เคยเห็นไหมครับ ประเภทเจอกันต้องกัดกัน ลูกสุนัขต้องถูกฝึกให้เข้ากับสุนัขตัวอื่น ๆ ด้วย เวลาฝึกก็ต้องให้ลูกสุนัขทั้งสองอยู่ในสายจูงนะครับ ไม่ใช่ปล่อยให้เล่นกันเอง และสิ่งสำคัญอายุต้องไล่เลี่ยกัน และเล่นกันเพียง 1 - 2 นาทีเท่านั้น เราต้องการให้ลูกสุนัขเพียงแค่รู้จักกับสุนัขตัวอื่น ๆ เท่านั้น อีก 4 อาทิตย์ก็ผ่านไปเร็วดั่งพริบตา แข็งแรง สุขภาพจิตเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ เดินไปไหนมาไหนด้วยความทรนง องอาจ ไม่มีความกลัวในสิ่งรอบข้าง แม้กระทั่งบุคคลอื่น ก็แสดงความเป็นมิตรในที ไม่แสดงความก้าวร้าวกับสุนัขตัวอื่น ๆ 4 อาทิตย์ที่สองนี้ ผมใคร่ขอเรียกว่า การฝึกหัดการเข้าสังคม
ผมเขียนขึ้นจากสิ่งที่ผมเห็นและได้เรียนรู้มาเท่านั้น เรื่องที่เขียนขึ้นมานั้น มันเป็นเพียงพื้นฐานของการที่จะคัดเลือก และการที่จะเตรียมตัวฝึกเจ้าพวกดาวดวงน้อยทั้งหลาย สุนัขทุกตัวมีจิตวิญญานลักษณะส่วนตัว หรือจะเรียกง่าย ๆ ว่า Character ของตัวเอง ลูกสุนัขคุณภาพชั้นเลิศ หรือที่เรียกว่า พวกหัวกะทิ ที่มีความมั่นใจในตัวเองสูง ๆ ผู้ฝึกไม่ต้องไปฝึกการเข้าสังคมให้กับพวกเขา เพราะเขาไม่เคยที่จะหวั่นกลัวสิ่งใด สิ่งสำคัญในการฝึกสุนัขคือ คุณต้องรู้จักสุนัข และรู้ว่าจะใช้วิธีใด ที่จะสื่อสารให้เขาเข้าใจในสิ่งที่คุณต้องการ และสิ่งที่คุณไม่ต้องการให้เขากระทำ มันไม่มีกฎข้อบังคับใด ๆ ที่ตายตัว ว่า เช่น ถ้าจะสอนให้สุนัขนั่งต้องทำฝึกด้วยวิธีนี้ วิธีนี้อาจจะใช้ได้กับสุนัขตัวนี้ แต่อาจจะใช้ไม่ได้กับสุนัขอีกตัว ผู้ฝึกเก่ง ๆ ในโลกนี้เขามีร้อยแปดวิธีที่จะสอนสุนัขในบทเรียนเดียวกัน มันอยู่ที่ว่าวิธีไหนมันจะเหมาะที่สุดกับเจ้าสุนัขตัวนี้