วีรบุรุษที่ถูกลืม (War Dogs) An Unbreakable Bond: The Dog of Vietnam

เรียบเรียงจาก Dog World Aug, 1999
 

   ในสงครามเวียดนามแม้พลลาดตระเวณส่วนใหญ่จะไม่เคยผ่านศึกสงครามจริง ๆ ในการรบแบบกองโจรมาก่อน แต่ก็ต้องถูกบรรจุเข้าประจำการในหน่วยลาดตระเวณซึ่งหมายถึงการเป็นแนวหน้า เพื่อเคลียร์พื้นที่ปฏิบัติการของศัตรู รวมถึงเคลียร์กับดักต่าง ๆ และการซุ่มโจมตีของศัตรูด้วย “การที่พวกเราไม่มีประสบการณ์การรบแบบกองโจรมาเลย ทำให้รู้สึกเหมือนเราเป็นหน่วยที่จะถูกกำจัดได้ง่ายที่สุด” ชารี คาร์โก้กล่าว , เขาเดินลาดตระเวณโดยไม่มีหมาอยู่ 6 สัปดาห์แรกที่เข้าประจำการ ก่อนหน้าที่จะสมัครเข้าเป็นผู้ควบคุมสุนัขหมายเลข 48 หน่วยสุนัขสอดแนม (Scout Dog) “ไหน ๆ ผมก็ต้องออกลาดตระเวณอยู่แล้ว ถ้ามีหมาเดินไปด้วยกันก็น่าจะดีกว่า”

   การปฏิบัติการของสุนัขสอดแนม ไม่ว่าจะในหรือนอกสายจูง จะอยู่ล้ำหน้าผู้จูงไปหลายหลาเสมอ มันจะสงบ , สุขุมและแม่นยำเชื่อถือได้ หากมีข้าศึกอยู่ภายในรัศมี 1,000 หลา มันสามารถบอกได้ไม่พลาดแน่นอน สุนัขจะใช้ภาษากายในการสื่อสารหรือส่งสัญญาณบอกคู่หูของมันให้ระวังอันตราย เช่น การสะบัดหางอย่างเร็ว หรือการยืนตัวเกร็งจ้องเขม็งตรงไปยังเป้าหมาย

   คาร์โก้ทำพลาดไปครั้งหนึ่งเมื่อเขาไม่สนใจสัญญาณเตือนของสุนัขของเขา ในการปฏิบัติงานเมื่อปี 1971 “ครั้งนั้นคาร์โก้เกือบเอาชีวิตไม่รอด ขณะกำลังเดินลาดตระเวณอยู่ชายป่ากำลังจะออกสู่ที่โล่ง , เขาทำสัญญาณให้ทหารในหน่วยเคลื่อนที่ต่อไป ทันใดนั้น วูลฟ์ ก้าวมาข้างหน้าและลงนั่งขวางเส้นทางนั้นไว้ ด้วยความกลัวว่าจะถูกข้าศึกจับได้เพราะเป็นที่โล่ง คาร์โก้เร่งให้ทหารเคลื่อนไปให้เร็วขึ้นเพื่อหาที่กำบัง แต่วูลฟ์ไม่ยอมขยับมิหนำซ้ำยังคอยงับมือคาร์โก้เมื่อเขาจะดึงมันให้พ้นทาง คาร์โก้สังเกตดูเส้นทางอีกครั้งโดยละเอียด จึงพบว่ามีเส้นลวดดึงชนวนระเบิดขนาดเท่าเส้นผมขึงอยู่ห่างจากที่เขายืนอยู่แค่ 2 ฟุต เท่านั้นเอง”

   พวกเวียดกงสามารถเข้าจู่โจมอย่างรวดเร็วและโหดร้ายทารุณมาก จากนั้นจะหายตัวเข้าไปในป่าอย่างรวดเร็วเหมือนผีหลอก ไม่มีมนุษย์หรือเครื่องมือทางอิเล็กทรอนิกส์ใด ๆ จะมีประสิทธิภาพสูงสุดในการตรวจหาระเบิดชนิดต่าง ๆ , กับดักสังหารหลายรูปแบบ ตลอดจนการลักลอบแทรกซึมเข้ามาในฐานทัพได้ “เท่าสุนัขสงคราม” (พวกเวียดกง ถึงกับตั้งรางวัลอย่างงามให้แก่ทหารเวียดกงที่ตัดหูมีรอยสักของสุนัขสงครามนำมาส่ง)

   การฝึกให้ตรวจหาและส่งสัญญาณอันตรายเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ในความสำเร็จของสุนัขเหล่านี้ที่สำคัญพอกันนั้นคือความผูกพันทางอารมณ์ระหว่างทหารและสุนัขคู่หู ซึ่งจะค่อย ๆ ลึกซึ้งและแน่นแฟ้นมากขึ้นทุกวัน จึงทำให้ทั้งคู่ปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างเป็นหนึ่งเดียว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการที่สุนัขจะต้องฝึกให้คู่หู เข้าใจภาษากายของพวกมันไม่ว่าจะเล็กน้อยขนาดไหน เขาจะต้องสังเกตให้ได้ และไม่พลาดเป็นอันขาด ยามว่างพวกทหารจะใช้เวลาทั้งหมดอยู่กับสุนัขคู่หู หลายคนบอกว่าเวลาอยู่นอกงาน พวกมันขี้เล่น และขี้ประจบมากไม่ต่างอะไรกับหมาที่บ้านของพวกเขาเลย

   “เวลามีของส่งมาจากทางบ้าน ผมต้องไปหาวูลฟ์ที่คอกแล้ว แกะห่อของออกดูด้วยกัน” คาร์โก้เล่า “มันชอบเคี้ยวข้าวโพดคั่ว แล้วก็คุ้ยจนถึงก้นกล่องเพื่อหาขนมของมัน ถ้าเกิดมันรู้ว่าเมื่อไรที่ผมแอบเปิดห่อของโดยไม่มีมัน มันเป็นต้องทำท่าว่า…นายทำอะไร , ฉันรู้นะหน้าไม่อาย , แล้วก็สบัดก้นใส่ผม”

   แต่เมื่อใดที่มีสายคาดอก (แสดงว่าต้องเริ่มทำงาน) พวกมันจะเอางานเอาการขึ้นมาทันที “มันเข้าใจดี เมื่อถึงเวลาทำงาน” คาร์โก้อธิบาย “วูลฟ์รู้แม้กระทั่งความแตกต่างระหว่างการฝึกเข้มกับการเข้าปฏิบัติการจริง เพราะมันจะแสดงให้เห็นว่ามันระวังตัวอย่างมากเวลาซุ่มอยู่ในพุ่มไม้”

   เมื่อสงครามสงบลง  มีรายงานว่า ระหว่างสงครามนั้น เหล่าสุนัขสงครามแห่งเวียดนามมีส่วนร่วมในการปฏิบัติการ ซึ่งทำให้ข้าศึกเสียชีวิตกว่า 4,000 คนและถูกจับเป็นเชลยศึกอีกกว่า 1,000 คน พวกสุนัขสงครามได้ค้นพบคลังเสบียงของข้าศึกกว่า 1 ล้านปอนด์ ปืนใหญ่ 3,000 กระบอก และอุโมงค์หลบซ่อน 2,000 แห่ง ตามรายงานอย่างเป็นทางการแจ้งว่า สุนัขสงครามได้ช่วยชีวิตคนไว้ถึง 10,000 ชีวิต (แต่จากปากคำของทหารคู่หูสุนัขสงครามบอกว่า น่าจะมีจำนวนผู้รอดชีวิตจากการช่วยเหลือของสุนัขสงคราม มากกว่านี้แน่นอน)

   ยิ่งไปกว่านั้น สุนัขสงครามได้แสดงให้เห็นซ้ำแล้วซ้ำอีก ถึงความรักอันบริสุทธิ์ใจที่มันมีต่อคู่หูของมันโดยไม่ต้องมีการฝึก ดังตัวอย่างของสุนัขชื่อ วาริเออร์กับทหารคู่หูของมัน ฮัล เอเบอร์ ทั้งคู่กำลังเดินตรวจบริเวณค่ายในตอนกลางคืน และถูกพวกเวียดนามโจมตีด้วยระเบิด เอเบอร์เล่าว่า “ผมถูกระเบิดล้มลงแล้วลุกไม่ขึ้น วาริเออร์น่าจะเผ่นหนีไป แต่มันกลับดึงผมออกมาจนพ้นบริเวณนั้น มันช่วยชีวิตผมไว้แท้ ๆ ในคืนนั้น”

   ฝันร้ายยังไม่จบสิ้น เมื่อเริ่มมีการถอนทหารออกจากเมืองที่ย่อยยับจากสงครามครั้งนั้น กองทัพสหรัฐอเมริกาได้มีคำสั่งให้ทิ้งสุนัขสงครามทั้งหมดไว้ เพราะทางการเห็นว่าสุนัขทำให้สิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ , หลายร้อยตัวถูกโอนไปเข้าสังกัดกองทัพเวียดนามใต้ และไม่นานหลังจากนั้นสุนัขเกือบทั้งหมดก็ถูกทอดทิ้งให้อดหยาก และบ้างก็ตายด้วยอากาศร้อน (heatstroke) เล่ากันว่าบ้างก็ถูกฆ่ากิน และบ้างก็ถูกยิงด้วยเหตุต่าง ๆ แต่ที่น่าเศร้าที่สุดคือส่วนใหญ่ถูกฉีดยาให้ตายด้วยน้ำมือของคนชาติเดียวกับพวกมันนั่นเอง

   สัตว์แพทย์ทหารประจำกองทัพสหรัฐอเมริกาได้รับคำสั่งให้ตรวจคัดสุนัขที่อ่อนแอและป่วย โดยคำสั่งระบุว่าสุนัขที่มีปัญหาเหล่านั้นให้ถือว่าได้รับโทษประหาร ทหารหลายคนทำเรื่องร้องขอต่อทางการ เพื่อส่งสุนัขคู่หูของพวกเขากลับมาเลี้ยงดูที่บ้านในสหรัฐอเมริกาโดยจะเสียค่าใช้จ่ายเองทั้งหมด แต่คำร้องขอเหล่านั้นไม่ได้รับการอนุมัติจากรัฐบาล มีโครงการกักกันสุนัขสงครามที่เป็นโรคไข้เห็บ เพื่อการดูแลรักษาโดยใช้ยาปฏิชีวนะซึ่งค่อนข้างได้ผลดี แต่กลับไม่ได้รับพิจารณาจากทางการและต้องถูกยกเลิกอีกเช่นกัน ประมาณว่ามีสุนัขสงครามถึง 4,000 ตัวที่ถูกส่งไปทำงานที่เวียดนามและมีเพียง 190 ตัวเท่านั้นที่โชคดี มีโอกาสได้กลับสู่บ้านเกิด และได้รับใช้ชาติในราชการทหารสืบต่อมาเท่าที่จะสามารถทำงานได้

   คาร์โก้ เจ็บปวด ที่รู้ว่าวูลฟ์จะต้องถูกทิ้งไว้ที่นั่น วันเดินทางกลับใกล้เข้ามาทุกที ครอบครัวของเขาในแคลิฟอร์เนียพยายามหาทางติดต่อกับตัวแทนของทางรัฐบาลโดยทุกวิถีทางเท่าที่จะทำได้ เพื่อหาช่องทางที่จะดำเนินการให้วูลฟ์ได้ปลดประจำการและกลับบ้านได้แต่ก็ไร้ผล ด้วยความกลัวว่าวูลฟ์จะต้องถูกส่งไปอยู่กับกองทัพเวียดนาม คาร์โก้ถึงกับขออาสาสมัครเข้าประจำการอีกเป็นรอบที่สอง แต่คำร้องของเขาถูกปฏิเสธอีก

   “เมื่อเราออกปฏิบัติงานร่วมกัน , ผมจะให้วูลฟ์กินน้ำจากหมวกทหารของผมเสมอ , ครั้งสุดท้ายที่พบกัน มันถูกล่ามโซ่ไว้ข้างชามน้ำที่เป็นของหลวง ผมถอดหมวกออกมาวางไว้ให้มัน เขวี้ยงชามของหลวงเข้าป่าไป ” 28 ปีมาแล้วที่คาร์โก้สวมสร้อยคอซึ่งออกแบบทำจากโซ่คอของวูลฟ์ , เขาทำงานเป็นคนขับรถบรรทุกระยะไกลที่คาร์โก้กล่าวว่า ระยะทางเป็นล้านไมล์หลังพวงมาลัยรถไม่ได้ทำให้ความผูกพันที่เขามีต่อคู่หูของเขาจืดจางลงเลย “ สร้อยเส้นนี้ คือคำสาบานจากผมถึงวูลฟ์ว่าความผูกพันของเรานั้นเป็นนิรันดร”

Remembering the Dogs of‘nam.
 
   ในช่วง 5 ปี ที่ สมาคมผู้จูง (คู่หู) สุนัขสงครามแห่งเวียดนามได้ก่อตั้งขึ้น จำนวนสมาชิกได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนถึง 1,000 คนแล้วในขณะนี้ , รวมไปถึงทหารผ่านศึกษาจากสงครามทั้ง 3 ครั้ง ด้วย (สงครามโลกครั้งที่ 1 ,2 และสงครามเกาหลี) สมาคม ฯ ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากกลุ่มผู้สนับสนุน ในการต่อสู้เพื่อสิทธิอันพึงมีพึงได้ของบรรดาสุนัขสงครามหนึ่งในบรรดาผู้สนับสนุน คือ ริต้าเบอร์เนียร์ , จากเมืองเดอร์สัน , รัฐเนวาด้า เธอโด่งดังขึ้นมาจากการรณรงค์ให้เลิกการแข่งหมาในสหรัฐอเมริกา เมื่อเธอรู้เรื่องหมาที่ถูกทิ้งไว้ที่เวียดนาม ริต้าเป็นเดือดเป็นแค้นอย่างมาก เธอพยายามเจรจากับทางสภาเมืองจนในที่สุด ริต้า และ ชาล์ส แซนาดอร์ หนึ่งในสมาชิกสมาคม ฯ ก็ประสบความสำเร็จในการเจรจาเป็นผลให้สภาเมืองแฮนเดอร์สันจัดทำแผ่นจารึกบรอนซ์ ขนาดใหญ่ขึ้นเมื่อปี 1988 เพื่ออุทิศให้แก่เหล่าสุนัขทหารโดยสลักข้อความว่า “K-9 Corps, for unselfish devotion to duty.” (สุนัขผู้ซื่อสัตย์ทุ่มเทต่อหน้าที่ โดยไม่เห็นแก่ตัวเอง)

   คงไม่มีใครที่จะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นในคุณความดีของสุนัขสงครามได้อีกต่อไป ในขณะที่ฮอลลีวู้ดและวงการธุรกิจขนาดใหญ่ต่างให้ความสำคัญในเรื่องนี้ ในเดือนกุมภาพันธ์ 1999 , ภาพยนตร์สารคดียาว 1 ชั่วโมง เรื่อง “War Dogs: American’s Forgotten Heroes” ก็ได้จุดประกายให้สาธารณชนหันมาสนใจในเรื่องสุนัขสงครามอย่างกว้างขวาง , ภาพยนต์เรื่องนี้สปอนเซอร์โดยเจฟฟ์ เบนเนต ประธานบริษัทอาหารสัตว์เนเซอร์ เรซิพี มีดาราภาพยนต์ชื่อดัง มาร์ติน ซีน เป็นผู้บรรยาย , ในภาพยนตร์ได้จำลองภาพเหตุการณ์วีรกรรมของสุนัขสงครามบางตัวตามที่เคยเกิดขึ้นจริง และมีบทสัมภาษณ์ที่กินใจผู้ชมเป็นอย่างยิ่ง จากปากคำของทหารผ่านศึกเวียดนาม คู่หูตัวจริงของสุนัขสงครามเหล่านั้น เช่น ชาร์ลี คาร์โก้ และจอห์น เบอร์นัม ผู้มาเล่าถึงความน่ากลัวในคืนที่คอกหมาของพวกเขาถูกเวียดกงถล่มด้วยระเบิดเพลิง , จอห์นฟลาเนลลี่ เล่าถึง บรูซเซอร์ สุนัขคู่หูที่ลากเขาออกมาสู่ที่ปลอดภัย, เจสซี่ เมนเดส ครูผู้ฝึกทหารและสุนัขทหารทั้งหมดในสงครามเวียดนาม ผู้ได้กล่าวถ้อยคำที่มีความหมายอย่างยิ่งไว้ในภาพยนตร์นี้ “สุนัขสงครามเหล่านี้ ไม่สมควรถูกทอดทิ้ง….ชาวอเมริกันย่อมรู้ดี ว่าสิ่งที่ได้ทำไปนั้น มันผิด”

   มีผู้ชมกว่า 600 คน มาร่วมงานรอบปฐมทัศน์ของภาพยนตร์เรื่องนี้ ขณะกำลังฉาย ผู้ชมทั้งหมดเงียบกริบจะมีก็แต่เสียงสะอื้นเบา ๆ เท่านั้น และทันทีที่ไฟสว่างขึ้นผู้ชมต่างลุกขึ้นยืนปรบมือให้เกียรติกับบรรดาทหารคู่หูตัวจริงที่มาร่วมปรากฏตัวในงานนี้ หลังจากนั้น , ภาพยนตร์ได้ออกอากาศในช่องดิสคอฟเวอรี่ เมื่อ 15 กุมภาพันธ์นี้ ภายใน 48 ชั่วโมงต่อมา เงินบริจาคก็หลั่งไหลผ่านทาง Nature’s Recipe war dog www ถึงครึ่งล้านดอลลาร์จากผู้ชมที่รู้สึกซาบซึ้ง และเห็นอกเห็นใจ กำไรส่วนหนึ่ง จากการขายอาหารสุนัขเนเจอร์เรซีพี จะนำไปสมทบเข้ากองทุนเพื่อก่อสร้างอนุสาวรีย์สุนัขสงคราม 2 แห่ง แห่งแรกจะตั้งไว้ที่อนุสรณ์สถานแห่งชาติริเวอร์ไซต์ แคลิฟอร์เนีย ในปี 2000 นี้ และอีกแห่งกำลัง มองหาสถานที่ที่เหมาะสมในกรุงวอชิงตันดีซี โดยปฏิมากร โทมัส ชอมเบิร์ทได้ออกแบบไว้เป็นรูปสุนัขเยอรมันเช็พเพอดกับทหารคู่หู โดยมีคำจารึกว่า

They protected us on the field of battle. They watch over our eternal rest. We are grateful.

(พวกเขาปกป้องเราในยามรบ     ยามสงบไม่ทิ้งห่างร้างไปไหน
 ยังจงรักภักดีตลอดไป             เราซาบซึ้งหัวใจไม่เสื่อมคลาย)


แหล่งที่มารูปภาพ : http://www.bisddev.com/blog/2012/05/remembering-our-canine-war-heroes/

วิภาดา.

แหล่งที่มาข้อมูล : วารสารเช็พเพอด ฉบับที่ 45 (กันยายน 2543)

แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม : http://www.jbmf.us/hst-vietnam.aspx
แหล่งที่มารูปภาพ : http://www.jbmf.us/hst-vietnam.aspx
คลิปวิดีโอเกี่ยวกับ War Dogs :

 

อ่านบทความใน Facebook ได้ที่ http://www.facebook.com/notes/สมาคมผู้เลี้ยงสุนัขพันธุ์เยอรมันเช็พเพอดแห่งประเทศไทย/วีรบุรุษที่ถูกลืม-war-dogs-an-unbreakable-bond-the-dog-of-vietnam/523624804341620