โดย Ms. Nienke , Dog Professionais Boarding and Training Kennel, Chiang Mai
นอกเหนือไปจากการสอนให้สุนัข นั่ง, หมอบ, คอย ฯลฯ แล้วมีสิ่งใดที่แสดงว่าบุคคลนั้นคือ ผู้ฝึกสุนัขที่แท้จริง ? ผู้ฝึกสุนัขจำเป็นต้องมีความรู้และความชำนาญเป็นพิเศษในด้านใดบ้าง ? และจริงๆ แล้วผู้ฝึกสุนัขคืออะไรกันแน่ ?
ความแตกต่างระหว่างการฝึก (training) และการให้ศึกษา (education)
การฝึก จะมุ่งเน้นฝึกให้สุนัขมีความสามารถทางการแข่งขัน เพื่อให้ได้ใบรับรอง, ปริญญา หรือให้สอบความสามารถเฉพาะด้าน เพื่อให้มีการบันทึกเป็นพิเศษในใบประวัติพันธุ์ผ่าน เช่น BH, ZTP, FH, SchH หรือ IPO ซึ่งมุ่งไปที่การแสดงออกที่ถูกต้องของตัวสุนัขเป็นหลักเช่นการ “ เรียกมาหา ” (Recalling) สุนัขต้องกลับมานั่งตรงหน้าชิดตัวผู้จูง หรือระหว่างเดินสุนัขต้องเดินชิดให้ไหล่เสมอแนวเข่าและมองหน้าผู้จูงตลอดเวลา เป็นต้น ดังนั้นการฝึกจะเน้นที่ตัวสุนัขโดยเฉพาะไม่ค่อยเกี่ยวกับเจ้าของ ไม่ค่อยได้มีความสัมพันธ์กับเจ้าของสุนัข มักจะทำให้สุนัขเชื่อฟังครูฝึก และไม่ค่อยเชื่อฟังเจ้าของ (เว้นแต่เจ้าของจะเป็นผู้ฝึกเอง)
การให้การศึกษา ไม่ได้ให้ความสำคัญมากนักในเรื่องสุนัขจะต้องเดินให้ไหล่ชิดเข่าผู้จูง หรือต้องมองหน้าผู้จูงหรือสุนัขจะต้องโดดข้ามแผงไปคาบดัมเบล แล้วโดดข้ามแผงกลับมา ขณะที่ในปากต้องคาบดัมเบลด้วย ที่จริงแล้วสิ่งสำคัญคือ เจ้าของจะต้องสามารถควบคุมสุนัขในเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดเป็นประจำวัน เช่นสุนัขต้องมาหาทันทีเวลาเจ้าของเรียก, เมื่ออยู่ในสายจูงต้องเดินไปกับเจ้าของอย่างเรียบร้อยไม่ใช่ลากถูลู่ถูกังกันไป และนั่งคอยอย่างสงบขณะที่เจ้าของกำลังคุยอยู่กับคนอื่น เจ้าของต้องสามารถป้องกัน หรือปรามการแสดงออกที่ไม่พึงปรารถนา เช่น การกระโจน หรือ เห่า โดยไม่มีสาเหตุด้วย
ดังนั้น การให้การศึกษาสุนัข จะมุ่งการฝึกไปที่เจ้าของสุนัขควบคู่กันไปกับสุนัขของเขาด้วย เพื่อให้เจ้าของเรียนรู้การควบคุมสุนัขให้ถูกวิธี
อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่า สุนัขที่ฝึก (training) มาแล้วจะไม่สามารถไม่เชื่อฟังเจ้าของได้อย่างดีหรือสุนัขที่ได้รับการศึกษา (education) มาอย่างดี จะไม่สามารถนำมาฝึกเพื่อสอบหรือแข่งขันความสามารถต่างๆ ดังที่กล่าวมาแล้วได้
สรุปได้ว่า ผู้ฝึกสุนัข (Dog Trainer) จะต้องรู้พื้นฐานของตัวสุนัข ขณะที่ผู้แนะวิธีฝึกสุนัข (Dog Instructor) จะต้องเข้าใจผู้คนที่เขาเกี่ยวข้องด้วย รู้ว่าเขาจะต้องวางตัวอย่างไร สามารถวิจารณ์ผู้อื่นและรับฟังผู้อื่นวิจารณ์ตัวเองได้และสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญมากขึ้นด้วยก็คือ ความปลอดภัยในสนาม เนื่องจากผู้แนะวิธีการฝึกสุนัข จะต้องทำงานร่วมกับสุนัขและเจ้าของหลายคนในเวลาเดียวกัน
A. ความรู้ที่เกี่ยวกับสุนัข
ความรู้เกี่ยวกับสุนัข และวิธีการฝึกสุนัข พอสรุปโดยสังเขปได้ ดังนี้
- พันธุ์ และสายพันธุ์
- พื้นฐานทางพฤติกรรม และการจดจำ
- ความแตกต่างของวัย
- กระบวนการเรียนรู้
- ความรู้เรื่องโรค, การบาดเจ็บ และวิธีการปฐมพยาบาลเบื้องต้น
- รู้จักวิธีการฝึกฝนต่างๆ และรู้จักดัดแปลงใช้
1. ความรู้เรื่องสายพันธุ์
ผู้ฝึกและผู้แนะวิธีฝึกสุนัข จำเป็นที่จะต้องมีความรู้ด้านสายพันธุ์บ้าง เพราะมันจะดูเป็นมืออาชีพมากกว่า เมื่อรับสุนัขเข้ามาฝึก และรู้ว่าเป็นสุนัขพันธุ์อะไร, อยู่ในกลุ่มใด ซึ่งจะทำให้รู้ไปถึงพฤติกรรมพื้นฐานของสายพันธุ์นั้นๆได้ ที่ส่วนใหญ่แล้วลักษณะนิสัย ของสุนัขสายพันธุ์ใหม่ๆ มักเกิดจากความตั้งใจที่จะผสมพันธุ์ให้ได้คุณสมบัติที่เหมาะสมกับการใช้งานของสายพันธุ์นั้นๆ โดยเฉพาะ เช่น รีทรีฟเวอร์ ถูกผสมพันธุ์ขึ้นมา เพื่อการติดตามหาและนำเหยื่อกลับมาส่งได้โดยไม่บอบซ้ำ ดังนั้นสุนัขพันธุ์นี้จะต้องมีลักษณะการกัดแบบนุ่มนวล เป็นสายพันธุ์ที่ติดตามและนำเหยื่อมาส่งเจ้าของได้อย่างยอดเยี่ยม แต่โดยทั่วไปมักทำงานอารักขาได้ไม่ดีนัก ตรงข้ามกับสายพันธุ์ที่ผสมขึ้นเพื่อการอารักขา (เยอรมันเช็พเพอด, ร๊อตไวเลอร์, โดเบอร์แมน, ฟิลาบราซิเลโร) จะต้องมีลักษณะการกัดที่รุนแรงกว่า มิฉะนั้นนั้นก็จะไม่สามารถทำงานอารักขาได้ดี เพราะฉะนั้นผู้ฝึกควรรู้ว่าสุนัขนั้นอยู่ในกลุ่มสายพันธุ์ใด และลักษณะประจำสายพันธุ์นั้น อย่างเช่น การฝึกอารักขา ร๊อตไวเลอร์ ก็จะต่างจากมาลินอยล์, เยอรมันเช็พเพอด หรือ โดเบอร์แมน
2. พฤติกรรมพื้นฐาน
การที่จะสามารถเข้าใจพฤติกรรมของสุนัขได้ดีนั้น สำคัญมากที่จะต้องรู้ว่าจิตใจหรือสมองของสุนัขทำงานและสื่อสารด้วยวิธีไหน เช่นถ้าเราแสดงอาการก้าวร้าวต่อสุนัขประเภทจ่าฝูงหรือหัวโจก (Dominant) สุนัขจะรู้สึกเหมือนถูกท้าท้าย และจะแสดงอาการก้าวร้าวมากขึ้น บ่อยครั้งที่ผลคือถูกมันกัดเอา แต่ถ้าสุนัขตัวนั้นเป็นพวกขี้กลัว, ผลคือสุนัขจะยิ่งมีอาการขี้กลัวมากกว่าเดิม ดังนั้นยิ่งเราเข้าใจพฤติกรรมสุนัขได้มากเท่าใด ก็จะสามารถหลีกเลี่ยงสิ่งที่จะทำให้ต้องเสียใจได้มากขึ้นเท่านั้น
3. วัยของสุนัข
ลูกสุนัขเล็กๆ มีวิธีการเรียนรู้ต่างไปจากสุนัขวัยรุ่น, สุนัขวัยหนุ่มสาว, สุนัขเต็มวัย, หรือ สุนัขอายุมาก แม้จะเชื่อกันว่า สุนัขไม่สามารถฝึกได้ก่อนอายุ 6 เดือน แต่สุนัขก็ได้เรียนรู้มาตั้งแต่แรกเกิดแล้ว แน่นอนลูกสุนัขวัย 2 สัปดาห์ ย่อมยังไม่สามารถเข้าใจในคำสั่ง นั่ง เพราะมันเพิ่งจะเริ่มมองเห็นและได้ยินเสียงเป็นครั้งแรกในชีวิต แต่มันเรียนรู้โดยผ่านการดมกลิ่น และการสัมผัส และส่วนที่สำคัญที่สุดสำหรับสุนัขทุกตัว, คือช่วงวัยก่อนอายุ 4 เดือน ซึ่งเป็นช่วงระยะการเลียนแบบ และการเรียนรู้สังคมสุนัข เราต้องฝึก และนำลูกสุนัขเข้าสังคม โดยเริ่มต้นที่อายุประมาณ 8 อาทิตย์ เมื่ออายุถึง 4 เดือน ลูกสุนัขก็จะเข้าใจในคำสั่งเบื้องต้นพออายุ 5 เดือน ก็จะเข้าใจคำสั่งจู่โจม (attack), ปล่อย (loose), ให้ (give), คาบ (bring), หา (Search) และคำสั่งเข้าคอก (cage) และที่สำคัญที่สุด ลูกสุนัขต้องมีความสุข รู้จักปรับตัวได้ดี และไม่มีความรู้สึกถูกกดดัน
4. กระบวนการเรียนรู้
สุนัขเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ของชีวิต กระบวนการเรียนรู้นี้ เริ่มมาตั้งแต่สุนัขแรกเกิด เราคงพอจำกันได้ว่ามี 3 วิธีในขบวนการเรียนรู้ คือ
- การลองผิดลองถูก ตัวอย่างเช่น ลูกสุนัขที่เริ่มหัดเดิน ก็จะไม่รู้ว่ามันสามารถเดินอย่างไรได้บ้าง ดังนั้นถ้าลูกสุนัขพยายามที่จะปีนออกจากกล่อง แบบลูกแมว มันก็จะเรียนรู้ได้ในไม่ช้าว่ามันไม่สามารถปีนได้อย่างแมว
- การเลียนแบบ สุนัขจะเลียนแบบซึ่งกันและกัน คุณสามารถสังเกตได้จาก การนำสุนัขเล็กไปไว้กับสุนัขเต็มวัย ความจริงพวกคนเลี้ยงแกะใช้ประโยชน์จากการเรียนรู้ด้วยวิธีนี้ได้อย่างมากมายมหาศาล โดยเมื่อลูกสุนัข โตพอที่จะติดตามฝูงแกะไปได้เขาจะเอามันรวมฝูงไปด้วยในการเดินทาง ลูกสุนัขจะเฝ้ามองและทำตามสุนัขโตที่กำลังทำงาน ( ต้อนแกะ ) โดยวิธีนี้มันจะสามารถเรียนรู้กลเม็ดต่างๆ ในการต้อนฝูงแกะได้อย่างมากมาย
- การให้กำลังใจ และการลงโทษ
การให้กำลังใจ หมายถึงรางวัล ด้วยวิธีให้กำลังใจนี้คุณสามารถให้สุนัขทำตามสั่งได้บ่อยเท่าที่ต้องการ มี 2 วิธีคือ
- โดยให้สิ่ง ( กระตุ้น ) ที่สุนัขชอบ (เช่น อาหาร, ของเล่น, การชมเชย, การเล่น)
- โดยการเอาสิ่ง ( กระตุ้น ) ที่สุนัขไม่ชอบออกไป ( เช่นไม่เข้าเผชิญหน้ากับสุนัขที่ขี้กลัว เป็นต้น )
การลงโทษ มี 2 วิธีคือ
- โดยการแก้ไขให้ทำใหม่ให้ถูกต้อง ต้องระวังอย่าสั่งให้สุนัขทำอย่างเดิมซ้ำกันบ่อยครั้งกันไป
- โดยงดรางวัลที่สุนัขคาดหวังว่าจะได้ ดังตารางข้างล่างนี้
การให้กำลังใจ | การลงโทษ | |
---|---|---|
ทางบวก | รางวัล | ทำซ้ำ |
ทางลบ | ไม่ต้องทำซ้ำ | งดรางวัล |
ทั้งรางวัล และการลงโทษ ควรจะนำไปใช้ด้วยความรอบคอบตัวอย่างเช่น ให้รางวัลมากไป จะทำให้รางวัลไม่มีความหมาย และถ้าลงโทษรุนแรงไป สุนัขจะขี้กลัว หรือก้าวร้าว นั่นคือไม่สามารถเรียนรู้ด้วยวิธีที่ได้ผลสูงสุด
ช่วงเวลา ของการให้รางวัล และการลงโทษ มีความสำคัญมาก การให้รางวัลหรือลงโทษช้าเกินไป จะทำให้สุนัขเข้าใจผิด คิดว่าเป็นการให้รางวัล หรือลงโทษ สำหรับการกระทำต่อมาของมัน ซึ่งเป็นการผิดวัตถุประสงค์ที่ผู้ฝึกต้องการสื่อ
5. โรค, อาการบาดเจ็บ, การปฐมพยาบาล
ครูฝึกสุนัขต้องมีความรู้ความเข้าใจในอาการเบื้องต้นของโรคในสุนัข เช่นสุนัขไอ, มีน้ำมูก, มีไข้ อาเจียน, หรือมี อาการผิดปกติอย่างใดอย่างหนึ่ง ทางที่ดีที่สุดคือการเลื่อนการฝึกออกไป จนกว่าสุนัขจะดีขึ้น โดยเฉพาะสุนัขที่เดินกระโผลกกระเผลก ซึ่งมักจะมีความเจ็บปวด, แม้จะไม่แสดงออก สุนัขที่อายุยังน้อยถูกปล่อยให้กระโดดมาก ก็มีความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บของกระดูกและข้อต่างๆ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกพันธุ์กระดูกใหญ่) สิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งที่ผู้ฝึกสุนัข หรือผู้แนะวิธีฝึกสุนัข ต้องมีคือความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับสุนัขในด้านกายวิภาควิทยา, สรีรวิทยา, พยาธิวิทยา และการปฐมพยาบาล
6. วิธีการฝึกฝนต่างๆ และรู้จักดัดแปลงไปใช้
วิธีการฝึกที่ผู้ฝึกใช้กับสุนัข จะส่งอิทธิพลอย่างมากกับการแสดงออกของสุนัข การฝึกด้วยวิธีการลงโทษสุนัขที่ถูกให้แก้ไขทำซ้ำบ่อยๆ ก็จะพยายามหลีกเลี่ยงการทำซ้ำ สิ่งนี้อาจส่งผลให้เกิดพฤติกรรมที่คุณต้องการ แต่บ่อยครั้งส่งผลให้กลายเป็นสุนัขขี้กลัว หรือก้าวร้าวควบคุมไม่ได้ไปเลย ( เมื่อถอดสายจูง จะไม่เชื่อฟังคำสั่งอีกต่อไป ) ในทางกลับกัน การฝึกด้วยวิธีทางส่งเสริมหรือให้รางวัล มักให้ผลในการเพิ่มพฤติกรรมที่คุณต้องการเพราะไม่ว่าสุนัขหรือคนก็ชอบที่จะได้รับรางวัลกันทั้งนั้น
B. ความรู้เกี่ยวกับคน (สำหรับผู้แนะวิธีการฝึกสุนัข)
1. พฤติกรรมเบื้องต้นและการรับรู้ ผู้แนะนำวิธีการฝึกสุนัข นอกจากต้องมีความรู้เรื่องเกี่ยวกับสุนัขเป็นอย่างดีแล้ว จำเป็นต้องมีความรู้ในเรื่องของคนที่เขาจะต้องให้คำแนะนำ ( วิธีเลี้ยงสุนัข ) ด้วย เช่น ต้องสังเกตรู้ว่าทั้งสุนัขและเจ้าของมีปฏิกิริยาอย่างไรในการพูดคุยกัน มีท่าทางว่าเบื่อหน่ายหรือมีความสนใจดี ? ฟังทุกอย่างที่พูดและมีความเข้าใจดีหรือไม่ ?
2. กระบวนการเรียนรู้ : ผู้คนต่างก็มีกระบวนการเรียนรู้แตกต่างกันไป บางคนก็ชอบดูตัวอย่างและฟังคำอธิบาย, บางคนเลือกที่จะลงมือทำด้วยตัวเองด้วย ผู้แนะนำวิธีฝึกต้องเรียนรู้ว่าคนไหนชอบอย่างไร
3. เหตุผลที่นำสุนัขมาเรียน : แน่นอน, ผู้แนะนำวิธีฝึกสุนัขต้องรู้ก่อนว่าเหตุใดเจ้าของจึงนำสุนัขของเขามารับการฝึก บางทีเจ้าของอาจต้องการมีสุนัขที่มีนิสัยดี, ปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมได้ดี และควบคุมง่าย หรือเขาอาจอยากให้สุนัขมีการแสดงออกยอดเยี่ยมในสนามประกวด หรือ เพื่อให้มีระดับความสามารถระบุในเพ็ดดิกรี ซึ่งก็เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ที่เจ้าของจะสามารถฝึกสุนัขด้วยตัวเองจนสามารถสอบผ่านระดับความสามารถตามที่ต้องการได้
4. ความสามารถในการนำเสนอ ( การสอน ) และการแก้ปัญหา ทำอย่างไรจึงจะทำให้เจ้าของสุนัขเข้าใจในกระบวนการฝึก และรู้สึกถึงความสำคัญของตนเองในกระบวนการฝึกนี้ ผู้แนะนำวิธีฝึกต้องมีความสามารถในการจัดทำตารางการสอนสร้างบทเรียนและวางแผนการทำแบบฝึกหัด, ต้องรู้วิธีการนำเสนอ, การใช้ท่าทางและน้ำเสียงที่เหมาะสม ฯลฯ การรู้จักตั้งคำถามที่ถูกต้องก็จะทำให้รู้ได้ว่า เจ้าของสุนัขเข้าใจในสิ่งต่างๆ ดีแล้วหรือไม่
นอกเหนือไปจากการที่จะต้องรอบรู้ในเรื่องเกี่ยวกับสุนัขและเจ้าของแล้ว ผู้ฝึกสุนัขหรือผู้แนะนำผู้ฝึก ยังจะต้องเอาใจใส่ในเรื่องความปลอดภัยของทั้งสุนัขและเจ้าของด้วย ดังนั้นอุปกรณ์ที่ใช้ในการฝึก ต้องมีกฎระเบียบสำหรับควบคุมให้อยู่ในสภาพที่ปลอดภัยตลอดเวลา เช่น ระหว่างการฝึก ควรต้องใส่รองเท้ากีฬา ไม่ใช่รองเท้าแตะ หรือรองเท้าที่มีส้น ซึ่งอาจทำให้ลื่น, ข้อเท้าพลิก หรือ พลาดไปเหยียบเท้าสุนัขเจ็บได้
สุดท้ายคือ ผู้ฝึกหรือ ผู้แนะนำวิธีฝึก ควรรู้จักตัวเองให้ดี พอที่จะรับฟังการวิจารณ์ถึงความผิดพลาดของตนเองได้ด้วย ด้วยวิธีนี้เท่านั้นที่เข้าจะเข้าใจถึงจุดเด่น หรือจุดด้อยของตัวเอง เพื่อจะได้ปรับปรุงแก้ไขตัวเองต่อไป.
เมื่อคุณได้อ่านโดยตลอดแล้ว ก็จะทราบว่าผู้ฝึกสุนัขไม่ได้เป็นในวันเดียว ผู้ฝึกสุนัขจะต้องเป็นบุคคลที่มีความเข้าใจและตอบสนองทั้งสุนัขและเจ้าของ พร้อมทั้งต้องพร้อมเสมอที่จะรับฟังความคิดเห็นและไม่เป็นแก้วที่เต็มสำหรับความรู้ใหม่ๆ
หมายเหตุ : บทความนี้เป็นของ Ms.Nienke แห่ง Boy Professionals Boarding and Training Kennel Chiangmai ติดต่อท่านได้ที่เบอร์โทร. 089-9978146 หรือ email : dogprofessionals@excite.com
สัตวแพทย์น้ำกร่อย ผู้แปล
แหล่งที่มาข้อมูล : วารสารเช็พเพอด ฉบับที่ 49 ( ธันวาคม 2545 )
สำหรับผู้ที่สนใจฝึกสุนัขด้วยตัวเอง สามารถเข้าร่วมกลุ่มฝึกสุนัข ฟรี!
ดูรายละเอียดได้ที่ http://www.facebook.com /notes/สมาคมผู้เลี้ยงสุนัขพันธุ์เยอรมันเช็พเพอดแห่งประเทศไทย/รวมกลุ่มฝึก สุนัข-สำหรับผู้ที่สนใจฝึกสุนัขด้วยตัวเอง/518611368176297
อ่านบทความใน Facebook ได้ที่ http://www.facebook.com/notes/สมาคมผู้เลี้ยงสุนัขพันธุ์เยอรมันเช็พเพอดแห่งประเทศไทย/คุณสมบัติของผู้ฝึกสุนัข-Dog-Trainer-และ-ผู้แนะวิธีฝึกสุนัข-Dog-Instructor/512800545424046
- 18991 views