ทำอย่างนี้ ได้ไง ?

 

@   เมื่อฉันยังเป็นลูกหมาตัวน้อยน่ารัก ฉันเคยทำให้พ่อมีความสุขและหัวเราะได้เสมอ พ่อเรียกฉันว่า “ ลูกพ่อ ” และบอกว่าฉันเป็น “ เพื่อนที่ดีที่สุดของพ่อ ” แม้ว่าฉันจะแอบแทะรองเท้าของพ่อ หรือเอาหมอนของพ่อลงมาฟัดเล่นบ้าง พ่อก็ไม่เคยบ่นว่าให้เสียใจ

@   เมื่อฉันทำ “ ไม่ดี ” พ่อก็เพียงโบกนิ้วชี้ไปมาถามฉันว่า “ทำอย่างนี้ได้ไง ” แต่แล้วพ่อก็ยกโทษให้ฉัน……. จับฉันนอนหงายท้องเกาพุงให้ทุกครั้งไป

@   พ่อต้องฝึกให้ฉันรู้จักความสะอาด ไม่ทำเลอะเทอในบ้าน โดย พ่อต้องปล่อยฉันออกมาทำธุระนอกบ้านเป็นเวลาทุกวัน พ่องานยุ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้การฝึกของฉันได้ผลช้าไปบ้าง แต่เราก็พยายามทำจนสำเร็จ

@   พ่อพาฉันออกไปเดินตามสวนสาธารณะ ไปนั่งรถเล่น แวะกินไอศกรีมกัน ( ของฉันได้ไอศกรีมโคนก้อนเดียว เพราะพ่อว่า “ ไอศกรีมไม่ดีสำหรับหมานะลูก ” ) เวลาพ่อไปทำงานฉันก็จะนอนผึ่งแดดหลับบ้างตื่นบ้าง รอพ่อกลับบ้านตอนเย็น

@   พ่อเริ่มใช้เวลาอยู่นอกบ้านมากขึ้นเรื่อยๆ กลับบ้านค่ำๆ เกือบทุกวัน และเริ่มมีเพื่อนผู้หญิง ฉันคอยพ่อด้วยความอดทนอยู่ที่บ้านทุกวัน คอยปลอบใจและให้กำลังใจ เมื่อพ่ออารมณ์ไม่ดีหรือถูกผู้หญิงหักอกมา ไม่เคยทำให้พ่อเสียใจมากขึ้นเมื่อกลับมาบ้าน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นฉันก็ดีใจที่สุดทุกครั้งที่เห็นหน้าพ่อกลับมาถึงบ้าน และก็แสดงออกให้พ่อได้รู้ว่าฉันดีใจแค่ไหน

@   ในที่สุด พ่อก็ตกหลุมรัก และแต่งงาน ภรรยาของพ่อ เธอไม่ใช่ “ คนรักหมา ” แต่ฉันก็ยินดีต้อนรับเธอมาอยู่ด้วยกันในบ้านของเรา, พยายามแสดงความรัก และเชื่อฟังเธอด้วย, ฉันมีความสุข เมื่อเห็นพ่อมีความสุข

@   ต่อมาเธอก็มีคนตัวเล็กๆ มาอยู่ด้วย พ่อตื่นเต้นดีใจใหญ่ ฉันก็พลอยดีใจไปกับพ่อด้วย ฉันรักร่างน้อยๆ สีชมพูและกลิ่นตัวที่หอมชื่นใจ ฉันอยากช่วยเลี้ยงเขาบ้าง แต่พ่อกับเธอคนนั้นก็ได้แต่กลัวว่า ฉันจะทำร้ายคนตัวน้อยๆ เหล่านี้ ฉันจึงต้องถูกอัปเปหิไปอยู่ที่ห้องหนึ่ง, ในกรงหมา โธ่เอ๋ย ฉันเพียงอยากจะ “ รัก ” เขาบ้างแต่กลับต้องมากลายเป็น “ นักโทษแห่งความรัก ”

@   ตัวน้อยๆ เริ่มโตขึ้น ฉันก็กลายเป็นเพื่อนเล่นของพวกเขา ให้เขาดึงขนเพื่อปีนป่ายขึ้นมาบนตัว, เอานิ้วจิ้มลูกตา, จับหูดึงไปมา ไม่ก็เอานิ้วแหย่หูฉันเล่น หรือแม้แต่หอมที่จมูกฉัน ฉันรักทุกอย่างที่พวกเขาทำ รักสัมผัสของพวกเขา ( เพราะพ่อแทบจะไม่เคยแตะต้องฉันมานานแล้ว ) และฉันพร้อมที่จะปกป้องพวกเขาด้วยชีวิต ถ้าจำเป็นต้องทำ

@   ก่อนนี้……เมื่อมีคนเคยถามพ่อว่า มีหมาหรือเปล่า ? พ่อจะเอารูปของฉันที่พกติดกระเป๋าออกมาให้เขาดู แล้วเล่าเรื่องของฉันให้เขาฟัง

@   แต่ 2-3 ปี ที่ผ่านมานี้…..ถ้ามีใครถามอย่างเดียวกัน พ่อก็จะตอบว่า “ มี ” แล้วก็เปลี่ยนเรื่องคุยทันที

@   จากที่เคยเป็น “ ลูกพ่อ ” , “ หมาของพ่อ ” เดี๋ยวนี้ ฉันกลายเป็นแค่ “ หมา ” ตัวหนึ่ง ที่พ่อไม่อยากจะหมดเปลืองค่าใช้จ่ายอะไรที่เกี่ยวกับฉันอีกต่อไปด้วยซ้ำ

@   บัดนี้ พ่อมีตำแหน่งการงานใหญ่โต แต่ได้ย้ายไปอยู่อีกเมืองหนึ่ง พ่อกับครอบครัว จะย้ายไปอยู่อพาร์ทเม้นต์ที่ไม่อนุญาตให้เลี้ยงสัตว์ พ่อตัดสินใจทำในสิ่งที่ดีต่อ “ ครอบครัว ” ของพ่อ, แต่ ครั้งหนึ่ง…… พ่อมีเพียงฉันตัวเดียวเท่านั้น ที่เป็น “ ครอบครัว ” ของพ่อ

@   ฉันตื่นเต้นดีใจ ที่พ่อพาฉันไปนั่งรถเล่น อีกครั้งเหมือนที่เคยทำเมื่อก่อนนี้ จนกระทั่งเรามาถึง สถานสงเคราะห์สัตว์ ฉันพลันรู้สึกได้ถึงกลิ่นของหมาและแมวมากมายๆ รู้สึกได้ถึงความหวาดกลัว, ความสิ้นหวังของพวกเขา

@   พ่อกรอกแบบฟอร์ม และบอกคนที่นั่นว่า “ ผมแน่ใจว่าคุณต้องหาบ้านใหม่ให้มันได้ ” คนพวกนี้มองพ่ออย่างเศร้าๆ พวกเขารู้ดี ถึงชะตากรรมของหมาแก่ ในสถานสงเคราะห์สัตว์ ( แม้จะมีใบเพดดีกรี ) พ่อต้องปล้ำแกะมือลูกชายของพ่อ ออกจากปลอกคอของฉัน ขณะที่เขาร้องไห้ดังลั่น “ ไม่, พ่อ, อย่าให้เขาเอาหมาผมไปนะ ! ”

@   ฉันเป็นห่วงเด็กๆ มาก เพราะเด็กๆ กำลังจะได้เรียนรู้เรื่องของ มิตรภาพที่สวยงาม, ความซื่อสัตย์, ความไว้วางใจ, ความรัก, ความรับผิดชอบ และความเคารพในชีวิตของมนุษย์และสรรพสัตว์อื่นๆ จากพ่อของเขาเอง

@   พ่อลูบหัวร่ำลาฉัน โดยไม่ยอมสบตา และไม่เอาปลอกคอกับสายจูงของฉันคืนกลับไปด้วย พ่อมีกำหนดวันที่จะต้องไป, ฉันก็มีกำหนดวันของฉันเช่นกัน !

@   เมื่อพ่อไปแล้ว ผู้หญิง 2 คนที่นี่คุยกันว่า พ่อต้องรู้ล่วงหน้ารู้มาก่อน 2 – 3 เดือนแล้ว ว่าจะย้ายไปอยู่ที่อื่น และจะไม่เอาฉันไปด้วย แต่ทำไมไม่เตรียมหาเจ้าของใหม่, บ้านใหม่ไว้ให้ฉัน เธอทั้ง 2 คน ส่ายหัวแล้วถามกันว่า “ทำอย่างนี้ได้ไง ?? 

@   คนที่นี่ เอาใจใส่ดูแลพวกเรา ( ในสถานสงเคราะห์นี้ ) เท่าที่จะทำได้ ในวันเวลาจำกัด พวกเขาเลี้ยงดูและให้อาหาร, แต่ฉันไม่อยากกินอะไรมาหลายวันแล้ว แรกๆ เมื่อมีใครเดินผ่านมาหน้ากรง ฉันจะรีบวิ่งมาที่ประตู……หวังว่าจะเป็นพ่อ หวังว่าพ่อจะเปลี่ยนใจ หวังว่านี่คงเป็นแค่ฝันร้ายหรืออย่างน้อยที่สุด หวังว่าจะมีคนใจดีสักคนหนึ่ง มาช่วยฉันออกไปจากที่นี่ แต่เมื่อฉันตระหนักถึงสภาพของตัวเอง ที่ไม่มีวันจะเทียบได้กับลูกหมาเล็กๆ ที่น่ารัก น่าเลี้ยงกว่ามากมายแล้ว ฉันก็ถอยกลับมา อยู่ที่มุมในสุดของกรง และคอยเวลา……

@   ฉันได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาตามทางเดิน เมื่อเธอ…….ผู้หญิงคนนั้น, เดินมาหาฉันที่กรงในตอนเย็นวันนี้, แล้วฉันก็เดินตามเธอต้อยๆ ไปที่ห้องเดี่ยวห้องหนึ่ง ห้องที่เงียบสงบน่าสบาย เธอเอาฉันขึ้นบนโต๊ะแล้วเกาหูให้ฉัน, บอกให้ทำใจให้สบายไม่ต้องกังวล ฉันหัวใจเต้นแรงด้วยความตื่นเต้น, สงสัยว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ก็มีความรู้สึกปลอดโปร่งโล่งอกและผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก……..“ นักโทษแห่งความรัก ” ไม่มีเวลาเหลืออีกแล้ว……

@   โดยสัญชาตญาณตามธรรมชาติของฉันเอง…….ทำให้ฉันรู้สึกเป็นห่วงผู้หญิงคนนี้ ฉันรู้สึกถึงภาระหน้าที่ที่เธอต้องแบกรับ มันกดดันเธออย่างหนัก ฉันรู้สึกได้ดี เช่นเดียวกับที่เคยหยั่งรู้ในทุกอารมณ์ความรู้สึกของพ่อ……

@   เธอค่อยๆ ผูกท่อยางห้ามเลือด รอบขาหน้าของฉัน ขณะที่น้ำตาไหลพราก อาบแก้มของเธอ ฉันเลียมือเธอเบาๆ แบบเดียวกับที่เคยทำเวลาปลอบใจให้พ่อ เมื่อหลายปีก่อน เธอค่อยๆ สอดเข็มฉีดยาเข้าไปตามเส้นเลือดของฉันอย่างผู้ชำนาญ ฉันรู้สึกเจ็บแปลบตรงจุดที่เข็มแทง และรู้สึกของเหลวเย็นเฉียบแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย

@   ฉันนอนลง อย่างง่วงมึน พยายามมองเข้าไปในดวงตาของเธอผู้เมตตา……………..ถามเธอ ว่า “ทำอย่างนี้ได้ไง?? 

@   บางที……เธอจะเข้าใจภาษาหมาของฉัน, เธอพูดว่า “ ฉันเสียใจมาก, ฉันขอโทษ ” เธอกอดฉันไว้ และอธิบายว่า มันเป็นหน้าที่ของเธอ ที่จะต้องแน่ใจว่า ฉันได้ไปอยู่ในที่ๆ ดีกว่าเดิมจริงๆ ที่ๆ ไม่มีวันจะถูกเมินเฉยหรือถูกทำทารุณ หรือถูกทอดทิ้ง หรือต้องคอยป้องกันตัวจากภัยร้ายอื่นๆ อีก ที่ที่สว่างไสว และเต็มไปด้วยความรักไม่เหมือนที่ไหนๆ ในโลกใบนี้

@   ด้วยลมหายใจเฮือกสุดท้าย…..ฉันพยายามสื่อถึงเธอด้วยการขยับปลายหางอย่างยากเย็นเพื่อบอกให้เธอรู้ว่า คำถามทำอย่างนี้ได้ไง?? ”  ของฉันนั้น ฉันไม่ได้ถามเธอโดยตรง แต่ฉันกำลังนึกถึง พ่อ, คนที่เป็นที่รักที่สุดของฉันคนที่ฉันจะคิดถึง, และรอคอยชั่วนิรันดร์

@   ขอให้ทุกคนในชีวิตของพ่อจงมีความซื่อสัตย์และจงรักภักดีให้พ่อสืบต่อไปจนตลอดชีวิตของพ่อ ให้มากเท่าที่ฉันเคยมีให้พ่อมาตลอดชีวิตของฉัน………...ลาก่อน……… พ่อที่รัก

 

เรียบเรื่องจาก : How Could You ? by Jim Willis 2001 http://jimwillis0.tripod.com/tiergarten/id21.html
โดย : วิภาดา

 

แหล่งที่มาข้อมูล : วารสารเช็พเพอด ฉบับที่ 49 ( ธันวาคม 2545 )

อ่านบทความใน Facebook ได้ที่ http://www.facebook.com/notes/สมาคมผู้เลี้ยงสุนัขพันธุ์เยอรมันเช็พเพอดแห่งประเทศไทย/ทำอย่างนี้-ได้ไง-/523992454304855